หลายๆคนน่าจะมีประโยคทอง หรือ Best Quote ในดวงใจกันบ้างใช่มั้ยครับ
เพราะประโยคทองบางประโยคก็ช่วยให้กำลังใจเรา และช่วยดึงให้เราหลุดพ้นจากช่วงภาวะตีบตันได้
ผมเองมีประโยคหนึ่งที่ผมชอบมากเป็นพิเศษนั้นคือ "นายไม่อ่านหนังสือ นายจะไปรู้อะไร" นี่คือประโยคทองสุดคลาสสิคของ อ. ศิลป์ พีระศรี
อ. ศิลป์ พีระศรี แต่เดิมชื่อ คอร์ราโด เฟโรชี (Corrado Feroci) เป็นชาวอิตาลีสัญชาติไทย ท่านเป็นประติมากรจากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ที่เข้ามารับราชการในประเทศไทยตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยถือเป็นปูชนียบุคคลคนหนึ่งของไทยที่ได้สร้างคุณูปการในทางศิลปะและมีผลงานที่เป็นที่กล่าวขานจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งและอาจารย์สอนวิชาศิลปะที่โรงเรียนประณีตศิลปกรรม
ประโยคทองอย่าง "นายไม่อ่านหนังสือ นายจะไปรู้อะไร" เป็นคำที่คอยเตือนสติผมทุกครั้ง เป็นคำที่ตบฉาดเข้าที่หน้าให้ตัเวเองสำนึกเสมอเวลาที่คิดว่าตัวเองรู้แล้ว เข้าใจแล้ว สิ่งที่ยืนยันคำพูดของ อ. ศิลป์ พีระศรี นั้นเป็นจริง เกิดขึ้นกับผม ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา
หากใครที่ติดตามเพจนี้มาตั้งแต่มีคนไลค์แค่หลักร้อยจะเห็นว่าในปีที่ผ่านมาผมเขียนอะไรในเพจน้อยลงมาก ไม่เหมือนช่วงในแรกที่ผมจะเขียนบทความในตอนเช้าทุกวัน ผมพยายามคิดหาสาเหตุทำไมถึงนึกเรื่องดีๆ เขียนออกมาไม่ได้เลย หรือเป็นเพราะเราเขียนทุกวันในช่วงแรกจนไม่เหลืออะไรให้เขียนอีกแล้ว หรือเพราะเราไม่สนุกกับการเขียนอีกแล้วกันแน่ ผมถามหาสาเหตุกับตัวเองแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง
แต่พอผมได้เห็นประโยค "นายไม่อ่านหนังสือ นายจะไปรู้อะไร" ก็เหมือนโดน อ. ศิลป์ พีระศรี ท่านมาดึงสติ สาเหตุมันไม่ใช่ว่าผมหมดเรื่องจะเขียนหรือไม่สนุกกับการเขียนแล้ว แต่สาเหตุนั้นเกิดจากผมอ่านหนังสือน้อยลงหรือจะเรียกแทบไม่อ่านเลยของตัวเองในช่วงปีที่ผ่านมาต่างหาก
การอวดดี ถือดี คิดว่าตัวเองอ่านหนังสือมาเยอะแล้ว ไม่ต้องไขว้คว้าหาอะไรมาอ่านเพิ่มมากมายอีก ทำให้กระบวนการคิดต่างๆ ของตัวเองลดลงจนแทบจะกลายเป็นคนสมองฝ่อ ผมมานั่งตกตะกอนและคิดว่า สมองของเราคล้ายกับระบบปฏิบัติการบนมือถือนี่แหละ ถ้าใช้แต่ OS เดิมๆ ไม่ยอมอัพเดท OS ใหม่ พอมีระบบใหม่ โปรแกรมใหม่เข้ามา เมื่อระบบเก่าไม่รองรับ ก็ไม่สามารถดึงโปรแกรมเหล่านั้นมาใช้ได้ สมองเราเองก็เช่นกันที่มันก็ต้องการอัพเดท เพราะเมื่อไม่มี input จะมี output ได้ยังไง เมื่อไม่มีเรื่องดีๆเข้ามาเพิ่้ม จะมีเรื่องดีๆ มาถ่ายทอดได้ยังไง สาเหตุก็เพราะ "นายไม่อ่านหนังสือ นายจะไปรู้อะไร" พอหยุดอ่านหนังสือในหัวของผมมันก็กลวงโบ๋ไปหมด เหมือนที่ อ. ศิลป์ พีระศรี ท่านว่าไว้จริงๆ
แต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ที่ต่างกัน ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ผ่านการอ่านเสมอไป บางคนเรียนรู้ได้จากการลงมือทำ บางคนเรียนรู้จากการฟัง บางคนก็เรียนรู้ได้จากการเขียน แต่ที่สำคัญที่สุดคืออย่าหยุดที่จะเรียนรู้ อย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง เพราะการตกอยู่ในสภาพนึกอะไรไม่ออก หัวสมองว่างเปล่าแบบที่ผมเป็น เป็นอะไรที่ดูไม่จืดเลยจริงๆครับ